7 ขั้นตอนการพรีเซนท์งานให้เทพแบบ Steve Jobs
ความเดิมตอนที่แล้ว "คอนเสปหลักที่ทำให้สินค้าจาก Apple ประสบความสำเร็จและทำให้ Apple เป็นบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของโลกก็คือ “เรียบหรูใช้งานง่าย” นอกจากแนวคิดของสินค้าแล้วสิ่งที่ทำให้ Apple ประสบความสำเร็จมากๆ เลยก็คือ “การนำเสนอสินค้า” Jobs เป็นคนที่ขึ้นชื่อว่าสามารถพูดให้ดินกลายเป็นดาวได้ แต่เราจะเอาไว้พูดถึงในตอนหน้านะครับ"
อ่านเต็มๆ ได้ที่ : http://www.lismf.com/2015/09/steve-jobs.html
หมายเหตุ : บทความนี้ผมเรียบเรียงเองจากข้อมูลหลายๆ แห่งที่ผมอ่านมานะครับ อาจจะมีถ้อยคำที่ไม่เหมาะสมบ้าง ต้องขออภัยล่วงหน้าครับ
สวัสดีครับ ในบทความนี้เราจะพูดถึงขั้นตอนการนำเสนองานให้เทพๆ แบบ Steve Jobs กันนะครับ
จากความเดิมตอนที่แล้วทุกคนคงเห็นแล้วว่าการที่ Apple ประสบความสำเร็จได้แบบทุกวันนี้ นอกจากจะมีความคิดที่แตกต่างแหวกแนว(ในยุคนั้น)แล้ว ส่วนนึงก็เกิดจากการนำเสนอสินค้าที่ต้องบอกเลยว่าโดนใจท่านผู้ชมมากๆ จนคนต้องแห่กันต่อคิวซื้อ(บางคนมาต่อคิวรอกันตั้งแต่ตี 3 ตี 4 เห็นภาพยังตกใจเลยครับ คิดว่าแจกฟรี)
ภาพจาก : specphone.com/
คำถามครับ : ทำไมคนถึงต้องไปทนลำบากต่อคิวรอซื้อไอโฟนมากมายขนาดนั้น?
(แล้วเป็นกันทั่วโลกนะครับ หลายๆ ประเทศที่มีการเปิดตัวไอโฟนรุ่นใหม่ก่อนใครในโลกมักจะมีข่าวแบบนี้ ในไทยยังเป็นเลย)
คำตอบ(จากความเข้าใจของผม) : เพราะ Apple ครับ บริษัท Apple ได้สร้างค่านิยมบางอย่างให้กับสินค้าของพวกเขา สิ่งที่ Steve Jobs ได้นำเสนอให้กับคนทั่วโลกได้รับรู้เกี่ยวกับไอโฟนคือ "ไอโฟนไม่ใช่แค่สมาร์ทโฟน แต่มันคือสมาร์ทโฟนอันดับหนึ่งของโลก" ใช่ครับ เขาย้ำมันอย่างมั่นใจเลยล่ะ!
มาถึงจุดนี้หลายๆ คนคงบอกว่า "ไอตี๊ฟมันโม้ มันโอเวอร์ ไอโฟนโคตรห่วยเลย สเป็คก็ไม่แรง แพงก็แพง สู้นู่นนี่นั่นไม่ได้" มันก็ใช่อีกนั่นแหละครับ ถ้าเราเทียบสเป็คกันด้วยข้อมูลทางวิศวกรรม แต่(แต่... ตัวใหญ่ๆ ดังๆ เลย)ผมขอบอกไว้ตรงนี้เลยนะครับว่า ข้อมูลทางวิศวกรรมไม่มีผลอะไรหรอกครับ ถ้าคนพูดเป็นคนไม่น่าเชื่อถือ แต่ถ้าคนที่พูดนำเสนองานชิ้นนั้นเป็นคนที่น่าเชื่อถือมากๆ หรือเขาพูดได้ดีมากๆ งานชิ้นนั้นจะกลายเป็นงานของเทพ เรียกได้ว่ามาจากสวรรค์กันเลยทีเดียว เพราะคนส่วนใหญ่ไม่รู้เรื่องวิศวกรรมครับ ลูกค้าสนแค่ว่าเงินที่เขาจ่ายไปมันให้ประโยชน์อะไรกับพวกเขา มันทำให้ชีวิตพวกเขาดีขึ้นแค่ไหน นี่ต่างหากครับ ความแตกต่างของการนำเสนองานแบบเทพๆ กับการนำเสนองานแบบธรรมดา
การนำเสนอที่ดีสามารถพลิกวิกฤตได้ ผมขอยกตัวอย่างสักเรื่องนะครับ
เราลองคิดถึงรองเท้าใส่วิ่งสักคู่นึง ให้คนสองคนมาขายรองเท้าคู่นี้เหมือนกันแต่นำเสนอสินค้าต่างกัน
แล้วเราซึ่งเป็นลูกค้าก็เดินเข้าไปถามอยากจะซื้อรองเท้าคู่นั้น
ลูกค้า : ช่วยแนะนำรองเท้าวิ่งสักคู่ได้ไหมครับ?
คนขายคนที่ 1 : รองเท้าคู่นี้ผลิตจากวัสดุไนล่อนโพลิเมอร์ ฯลฯ เบอร์ 42 ราคา 4,200 บาท มีสีดำสีเดียวครับ
คนขายคนที่ 2 : รองเท้ารุ่นนี้ใส่แล้ววิ่งดีมากเลยนะครับ เพราะว่ามันจะช่วยรับน้ำหนักเข่าของพี่ไม่ให้กระทบกระเทือนเยอะเกินไป แล้วมันยังมีที่ระบายความร้อนให้เท้าไม่ร้อนและไม่ให้มีกลิ่นอับด้วยครับ
ทุกคนเห็นสิ่งที่ผมพยายามจะแสดงให้เห็นไหมครับ?
คนที่ 1 พยายามเสนอสินค้าด้วยความรู้เกี่ยวกับรองเท้ามากมายที่เขามี
คนที่ 2 เสนอสินค้าตามที่คิดว่าลูกค้าต้องการจะได้รับจากการเสียเงินซื้อรองเท้าคู่นั้น
ถามว่าใครผิด?
ถ้าคุณถามผม ผมจะตอบว่า ไม่มีใครผิดครับ ทั้งคู่นำเสนอข้อมูลด้วยความเข้าใจที่แตกต่างกัน ซึ่งมันก็เป็นความจริงทั้งคู่เพราะฉะนั้นผมเลยคิดว่าทั้งสองคนทำถูกแล้วในแบบของตัวเอง
แต่... ถ้าถามว่าผมจะซื้อร้องเท้ากับใคร?(ถ้าผมมีเงิน 4,200 สำหรับซื้อร้องเท้านะครับ ฮ่าๆ)
ผมขอตอบว่าผมจะซื้อกับคนที่ 2 ครับ เพราะเขาบอกผมได้ว่าผมจะได้ประโยชน์อะไรจากการที่ผมเสียเงินซื้อรองเท้าคู่นั้น ผมไม่จำเป็นต้องรู้หรอกครับว่ารองเท้าผลิตจากอะไร เพราะต่อให้เขาอธิบายได้ถึงระดับสารเคมีตั้งต้นที่ใช้ผลิตรองเท้า ผมก็ไม่มีความรู้พอจะไปดูหรอกครับว่า สารตั้งต้นนั้นมันคืออะไร
พอเข้าใจคอนเสปการนำเสนอคร่าวๆ ไหมครับ?
ถ้าเริ่มเข้าใจแล้ว เรามาดู 7 ขั้นตอนกึ่งสรุปแบบง่ายๆ ที่ Steve Jobs ชอบใช้กันเลยครับ
1. สร้างเรื่องราวให้กับสิ่งที่เราต้องการนำเสนอ : คนเราชอบสิ่งที่มีเรื่องราว มีตำนาน มีความตื่นเต้นน่าติดตามครับ เรื่องที่เราจะพูดควรจะต่อเนื่องไปเรื่อยๆ มีขั้น มีตอนอย่างชัดเจน เราควรบอกไปเลยว่าวันนี้เราจะพูดกี่เรื่องเพื่อให้คนดูติดตามได้ หลังจากที่เราสร้างเรื่องราวเพื่อนำเสนอได้แล้ว เราควรจะใส่ความตื่นเต้นเข้าไปในนั้นด้วย มันเหมือนเราเป็นผู้กำกับและเป็นพิธีกรในงานเดียวกัน แสดงว่าเราต้องรู้ข้อมูลทุกอย่างของสิ่งที่เราต้องการนำเสนอ แล้วดึงเอาจุดเด่นๆ ของสิ่งนั้นออกมาพูดให้เข้าใจได้ง่ายๆ พูดเรื่องที่คนฟังจะได้ประโยชน์ ลองคิดถึงตัวเองตอนกำลังนั่งฟังเรื่องที่เราจะเล่าสิ ว่าเราฟังแล้วมีประโยชน์ไหม ถ้าไม่มีประโยชน์เราเองก็คงไม่อยากฟังใช่ไหมครับ?
2. ตื่นเต้นกับสิ่งที่เราจะพูดซะ! : ถ้าเรารู้สึกเฉยๆ กับสิ่งที่เรากำลังพูดอยู่ คนฟังก็จะรับรู้ได้ครับว่าเราไม่เห็นจะตื่นเต้นอะไรเลย แล้วในที่สุดเขาก็จะเบื่อ เพราะมันไม่ตื่นเต้นนี่แหละ สุดท้ายก็หลับกันหมด ดังนั้นหลังจากที่เราได้เรื่องราวที่จะพูดแล้ว เราจะรู้ว่าจุดไหนของการนำเสนอที่เรารู้สึกว่าน่าเบื่อ ตรงนั้นแหละครับให้เราใส่ความตื่นเต้นเข้าไปเยอะๆ ขอยกตัวอย่างเรื่องตัวเลขนะครับ ตัวเลขเป็นเรื่องที่น่าเบื่อครับ ใครจะไปสนว่าไอโฟนขายได้แล้วกี่เครื่อง แต่ Jobs ตอกย้ำความสำเร็จของไอโฟนว่า ตั้งแต่ขายมาจนถึงวันที่เราขึ้นพูด ไอโฟนขายได้แล้ว 4 ล้านเครื่อง เมื่อดูตัวเลข 4 ล้านเครื่อง มันอาจจะดูเป็นเรื่องปกติ แต่เขาขยายความหมาย 4 ล้านเครื่องออกมา ว่า "นั่นเท่ากับเราขายไอโฟนได้มากถึง 2 หมื่นเครื่องต่อวัน" มันฟังดูน่าตื่นเต้นกว่าไหมครับ? คำว่า "ขายไปแล้ว 4 ล้านเครื่อง" มันฟังดูไกลตัวครับ แต่ "วันละ 2 หมื่นเครื่อง" มันฟังดูใกล๊ใกล้ ใช่ไหมครับ? นั่นแหละครับ สร้างความตื่นเต้นให้คนฟังซะ เขาจะได้ไม่หลับกันหมด
3. อย่าใส่ข้อความในสไลด์เยอะเกินไป : จริงๆ การนำเสนอนั้นมีหลายรูปแบบ เช่น การนำเสนอข้อมูลการเงิน รายงานการขาย หรือนำเสนอสินค้า ข้อมูลการนำเสนอที่แตกต่าง ก็ต้องมีวิธีนำเสนอที่แตกต่างกันออกไปครับ แต่ยังไงก็ตาม อย่าใส่ข้อความเยอะเกินไป! มันดูแล้วน่าเบื่อ สุดท้ายแล้วคนฟังจะไม่ได้ข้อมูลอะไรเลย เพราะคนฟังไม่รู้ว่าจะให้เขาอ่านหรือจะให้เขาฟังกันแน่ (จากสถิติที่ผมเคยเจอ คนเราเรียนรู้จากการรับฟังได้มากกว่าการอ่านครับ) ถ้าเราต้องใส่ข้อมูลเหล่านั้นลงไปในสไลด์จริงๆ เราควรจะแปลงรูปแบบการนำเสนอครับ ผมขอแนะนำ "infographic(อินโฟกราฟฟิก)" ให้ทุกคนได้รู้จักครับ (ไว้เราจะพูดถึง infographic กันในครั้งหน้านะครับ) การใส่ infographic เข้าไปจะสามารถดึงดูดความสนใจจากคนฟังได้มากกว่าครับ(ผมคนนึงล่ะที่ชอบดู infographic มากกว่านั่งอ่านบทความบนสไลด์)
ภาพตัวอย่าง infographic จาก : www.mdgadvertising.com
4. สร้างบทบาทให้กับคนอื่นด้วย : Jobs เป็นตัวละครหลักในการนำเสนอสินค้าทุกอย่างก็จริง แต่เขาก็แบ่งปันเวทีนั้นๆ ให้กับทีมงานได้แสดงความสามารถด้วย การที่มีคนมาสลับบทบาทกับเรา จะช่วยดึงความสนใจจากคนฟังได้เพิ่มขึ้น เพราะคนฟังอาจจะเริ่มหมดความตื่นเต้นในตัวเราแล้ว ต้องเปลี่ยนบ้าง กะจังหวะให้ดีครับ หรือถ้าไม่มีใครจะมาพูดต่อจากเรา อีกอย่างที่เราสามารถทำได้คือ ดึงคนฟังมามีส่วนร่วมกับเรา เช่น ถามคำถามคนฟัง ถามแบบเป็นรายตัว เพื่อให้บรรยากาศในการนำเสนอนั้นเปลี่ยนจากเริ่มอึมครึมให้กลายมาเป็นคึกคักอีกครั้ง
5. มั่นใจในตัวเองและสิ่งที่เรากำลังนำเสนอ : เรื่องนี้คงไม่ต้องอธิบายยืดยาวนะครับ เพราะมันค่อนข้างตรงตัว แต่การที่เราจะมั่นใจในตัวเองและสิ่งที่เรานำเสนอได้ก็คือ "ข้อมูล" ครับ เราควรเตรียมข้อมูลทุกอย่างเองมันจะเป็นการทบทวนและเพิ่มความมั่นใจให้เรา เวลาที่มีคนถามคำถามเรา แล้วเราตอบได้ นั่นจะทำให้เราน่าเชื่อถือเพิ่มมากขึ้นไปอีกครับ เพราะฉะนั้นเตรียมข้อมูลเองซะ (กลับไปดูข้อ 1)
6. แต่งตัวดีมีชัยไปกว่าครึ่ง : การแต่งตัวดีไม่ใช่ว่าเราต้องใส่เสื้อผ้าแพงๆ เสมอไปนะครับ แต่มันต้องเหมาะสมกับงานที่เราจะนำเสนอ โอเค พี่ตูนเป็น Rock Star เขาสามารถใส่กางเกงยีนขาดเข่าได้ครับ เพราะเขากำลังนำเสนอบทเพลงร็อค แต่... ถ้าผมกำลังนำเสนองานโปรเจคให้กับหน่วยงานราชการแล้วผมใส่กางเกงยีนขาด คนที่ฟังผมจะรู้สึกยังไงครับ? (ลองคิดดูเอาเองนะครับ มันต้องร็อคมากๆ แน่เลย ฮ่าๆ)
7. ซ้อมเยอะๆ และมีสติตลอด เวลาพลาดก็อย่าลั่น! : เวลาพูดต่อหน้าคนเยอะๆ มันต้องมีตื่นเต้นกันบ้าง แต่สิ่งที่ทำให้เราตื่นเต้นน้อยลงก็คือการฝึกซ้อมครับ ยิ่งเราซ้อมเยอะ เราก็ยิ่งมั่นใจ ยิ่งมั่นใจก็ยิ่งตื่นเต้นน้อยลง แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ผิดพลาดกันได้ครับ เมื่อเกิดความผิดพลาดขึ้น ก็อย่าตื่นเต้นจนเกินเหตุครับ เราไม่จำเป็นต้องลุกลี้ลุกลนให้คนอื่นๆ รู้ก็ได้ เราอาจจะลองพูดติดตลกแล้วเปลี่ยนเรื่องไปเลยก็ได้ครับ ขนาด Jobs ยังพลาดได้เลย(เหตุการณ์นี้คือสไลด์พรีเซนท์ของ Jobs เสียมีอาการจอดำมืดไปหน้านึงครับ เขาก็พูดติดตลกแล้วก็ข้ามไปสไลด์ต่อไปเลย)
เย่! จบแล้ว 7 ข้อหวังว่าทุกคนจะได้ประโยชน์จากเรื่องนี้นะครับ
จำไว้นะครับ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ "เราและเนื้อหา" คนเราอยากฟังแต่เรื่องที่เกิดประโยชน์กับตัวเองครับ เรื่องไหนเราดูแล้วไม่เกิดประโยชน์ก็ไม่ต้องพูดก็ได้ เตรียมข้อมูลให้แน่น ซ้อมให้เยอะ มีสติ
สู้ๆ ครับทุกคน ใครเอาเทคนิคเหล่านี้ไปใช้แล้วได้ผลไม่ได้ผลก็บอกกันได้นะครับ
ขอบคุณครับ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น