[รีวิว] เรื่องกินสนุกๆจนเป็น ริดสีดวง และวิธีรักษาแบบไม่ผ่าตัด

เป็นริดสีดวง ไม่สนุกนะครับ เหอๆ -*-

โปรดอ่าน! เรื่องนี้เกิดจากความเห็นส่วนตัวล้วนๆ อาจจะมีคนชอบไม่ชอบนะครับและอาจมีคำหยาบคายบ้าง ใช้สติในการอ่านนะครับ จุ๊บๆ  [เพื่อความสนุกและไหลลื่นในการอ่านผมจำเป็นต้องเรียบเรียงประโยคพูดใหม่ อาจมีบางคำที่ไม่ใช่คำที่รับฟังมาจริงๆ ได้โปรดเข้าใจด้วยนะครับ]

เหตุผลที่เขียนรีวิวนี้

  1. เพราะตอนที่ผมป่วยนั้นผมไม่สามารถหารีวิวที่เป็นการรักษาริดสีดวงแบบไม่ผ่าตัดได้ เลยอยากจะเอามาแบ่งปันว่าวิธีนี้มันก็ยังมีอยู่ แล้วก็สามารถรักษาให้หายได้เช่นเดียวกัน
  2. รู้สึกดีที่หมอคอยให้ความช่วยเหลือแนะนำเรื่องต่างๆ
  3. อยากให้ทุกคนรู้ว่าการที่เราอายหมอนั้นไม่ดีเลย เพราะถ้าโรคเกิดรุนแรงขึ้นจนรักษาไม่ได้เนี่ย ไม่ใช่เรื่องสนุกเลยนะครับ

เล่าก่อนว่าทำไมน้องริดถึงอยากมาหาผม

     เอาลักษณะการใช้ชีวิตคร่าวๆของผมนะครับ โดยปกติเนี่ยผมเป็นคนชอบกินพวกเนื้อสัตว์มากๆ เนื้อย่าง สุกี้ สเต็กนี่ชอบที่สุด(ไม่รู้เป็นอะไรเหมือนกันแต่พอเห็นนี่ต้องกิน 555+) พวกผักผลไม้น่ะเหรอครับ? ข้ามไปเลย ผมไม่ค่อยกินหรอก ถ้าไม่มีใครมาบอกว่า "แดกเข้าไปเดี๋ยวนี้ไอ้ตาม!!!" เหอๆ
     ผมชอบกินเนื้อย่างหรือที่หลายๆคนเรียกว่า หมูกะทะ โดยเฉพาะแบบบุฟเฟต์ ด้วยความรู้สึกที่ว่า "กูกินได้ยิ่งเยอะ ยิ่งคุ้ม หึหึ" (หารู้ไม่ว่านี่เป็นจุดเริ่มต้นของความเจ็บปวด) กินมาตั้งแต่อยู่ ม.ปลาย(ยุคนั้นเป็นยุคเริ่มต้นของหมูกะทะบุฟเฟต์เลยก็ว่าได้ ประมาน 9-10 ปีก่อน) ยันเรียนจบมหา'ลัย จนทำงาน(ช่วงปัจจุบัน) ถ้ามีโอกาส หรือใครชวนว่า "เฮ้ย หมูทะป่ะ?" ผมตอบแบบไม่คิดเลยว่า "เอาดิ!" กิน กิน กิน กิน แล้วทุกครั้งที่พวกผมไปกินหมูกะทะนั้น ผัก ผลไม้ ที่เขามีไว้บริการพวกผมไม่ตักมาใส่ในกะทะเลยซักอัน 555+
     ปล.ผมเป็นคนไม่กินเหล้า ไม่กินเบียร์ ไม่สูบบุหรี่ พวกนี้เป็นข้อดีหนึ่งเดียวของผม เหอๆ
     ก่อนอ่านบรรทัดนี้อยากให้ทุกคนได้ลองอ่านลิงค์ข้างบนทั้ง 2 ลิงค์แบบคร่าวๆนะครับโดยเฉพาะลิงค์ระยะของโรคริดสีดวง

หลังจากใช้ชีวิตแบบสนุกกับการกินมานานน้องริดก็เริ่มเข้ามามีบทบาทในชีวิตผม

     เนื่องจากปกติผมไม่ใช่คนชอบกินผักผลไม้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เวลาขี้เนี่ยยากเย็นแสนเข็ญเชียวล่ะกว่าจะหลุดมาจากลำไส้ตรงได้แต่ละก้อน เฮ้อ มันเจ็บตูด(ไม่กินผัก = ขี้แข็ง) มันก็มีหลายๆครั้งที่พอขี้แล้วมีเลือดไหลออกมาบ้าง แต่ผมเองก็ไม่ได้คิดอะไร คิดแต่ว่า "อ๋อ เพราะเราขี้แข็งมั้ง ขี้เลยบาดตูด พอขี้บาดตูดเลือดก็เลยไหล" ก็ยังสนุกไปเรื่อยๆ ใช้ชีวิตแบบเดิม จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปอีก ผมเริ่มขี้น้อยลง ประมาน 2-3 วัน ขี้ไปแค่ครั้งเดียวเอง -*- แต่ผมก็คิดเข้าข้างตัวเองว่า "อ๋อ หรือว่าร่างกายเราเผาผลาญจนไม่เหลือกากอาหารให้ขี้"(คิดแบบนี้ได้ โง่บรมเลยผม 555+) อาการขั้นต่อมาเริ่มเกิดขึ้นกับผม นั่นคือ เวลาขี้แล้วมันจะมีติ่งๆยื่นออกมา แต่ว่าสามารถดันกลับเข้าไปได้ เมื่อดันกลับเข้าไปแล้ว ผมก็เริ่มสงสัยละว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับตูดของผมกันแน่(แค่สงสัยนะ แต่ก็กินแบบเดิมๆ) 

น้องริดมาหาผมแล้วเมื่อประมาน 10 วันที่แล้ว

     หลังจากที่เราเริ่มปรับตัวเข้าหากันมาซักพัก(จริงๆไม่ได้อยากรู้จักแกเลยนังริด) และแล้วก็ถึงเวลาที่เราจะได้ทำความรู้จักกันสักที วันนั้นผมไปทำงาน mix เสียงคอนเสิร์ตปกติ ผมเกิดปวดขี้ขึ้นมา ผมก็เดินไปเข้าห้องน้ำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิด Cookie Run เล่นไประหว่างขี้(ฮ๊าา เพลินๆ) ผมขี้เสร็จแล้ว แต่ภารกิจเกมส์ยังไม่จบ ผมไม่อาจหยุดได้ในขณะนั้น(คนที่เล่นเกมส์จะนึกออก) ผมนั่งเล่นต่อจนกระทั่งคุ๊กกี้ผมตาย ผมก็ทำความสะอาดตูดตามปกติ พยายามจะดันไอ้ติ่งที่มันชอบยื่นออกมาให้กลับเข้าที่ แต่แล้วคราวนี้สิ่งไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น ผมดันมันไม่เข้า โนววววว!!!! บรรลัยแล้ว ตอนนั้นผมรีบก็รีบ งานก็กำลังจะเริ่ม ทำไงดี ทำไงดี ทำไงดี!! สุดท้ายผมก็ตัดสินใจเอางานไว้ก่อน ผมเดินจากห้องน้ำไปทำงานพร้อมความรู้สึกเสียวๆ อึดอัดๆ ตรงตูด 
     เชื่อหรือไม่? ผมพยายามดันมันกลับเข้าไปทุกครั้งที่มีโอกาส ผมเริ่มวิตกกังวล พยายามดันแบบไม่ลืมหูลืมตา แต่มันก็ไม่เข้า เอาล่ะ หลังจากที่น้องริดกับผมได้เจอกัน ผมก็พยายามหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ทเกี่ยวกับการกินยาเพื่อลดอาการของน้องริด ผมไปเจอในเว็ปว่ามีสมุนไพรเพื่อใช้รักษาน้องริดชื่อว่า "เพชรสังฆาต" 

น้องริดพี่เริ่มเบื่อน้องแล้วนะ!

     หลังจากวันงานวันนั้นผมก็ไปหาซื้อสมุนไพร ที่ร้านขายยาเพราะยังคิดว่าผมสามารถหายได้ด้วยการกินยา ไม่ต้องหาหมอก็ได้ (ผมคิดผิด) 
     พวกเรา(ผมกับน้องริด)เริ่มสนิทกันมากขึ้น น้องเริ่มลามปาม น้องบวมขึ้นเรื่อยๆ ผมกินยาและพยายามดันน้องกลับเข้าไปในที่ๆน้องควรอยู่ เป็นเวลา 5-6 วัน แต่สิ่งที่ผมได้รับคือ แม่เจ้ามันบวมจนแทบแตกเลย ก็ว่าได้ ผมไม่ไหวแล้ว นั่งยากมากๆ เดินก็ยาก  มันรู้สึกไม่สบายทุกท่วงท่าที่ตูดผมขยับ คืนวันเสาร์สัปดาห์นั้น ผมเพลียมากนอนตั้งแต่ 2 ทุ่ม ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาเวลาประมานตี 3-4 ผมนอนต่อไม่หลับแล้ว ผมจึงหาข้อมูลเรื่องการรักษา(ตอนนี้ต้องพึ่งหมอแล้ว) มีให้เลือกแบบง่ายๆเลยนะครับ 2 วิธี
  1. ผ่าตัด
  2. ไม่ผ่าตัด
     ผมพยายามหารีวิวอ่านทั้ง 2 แบบ สิ่งที่ผมอยากรู้คือ
  1. ค่ารักษาเท่าไหร่
  2. ขั้นตอนการรักษา
  3. ระยะเวลาหลังรักษา
     ให้ตายสิ! ผมหารีวิวเจอแต่การรักษาด้วยการผ่าตัด ผมนอนอ่านพี่ๆที่รีวิวไว้ ทั้ง 2 คน รีวิวแรกที่ผมอ่านเป็นของพี่ผู้หญิงคนนึง พี่เขารักษาด้วยการผ่าตัด พี่เขาบรรยายค่ารักษา สถานที่รักษาและอาการต่างๆได้อย่างดีจนผมเองแทบช็อค ช็อคแรกราคาค่ารักษา แม่เจ้า ราคาของพี่เขาร่วมๆ 70,000 บาท ผมนอนเงิบไปแปปนึง ผมอ่านจบก็ทำใจซักพักแล้วหารีวิวต่อไปมาอ่าน คราวนี้เป็นพี่ผู้ชายรักษาด้วยการผ่าตัดเช่นเดียวกัน เขาบรรยายขั้นตอนการรักษาไว้คล้ายๆกันว่า ต้องฉีดยาบล็อคหลัง วางยาสลบ แต่พอผ่าตัดเสร็จอาการของพี่ผู้ชายคือ รู้สึกปวดฉี่แต่ฉี่ไม่ได้เพราะท่อนล่างพี่เขาไม่มีความรู้สึก โอ้ว พระสงฆ์ ช็อคสองฉี่เองไม่ได้ต้องสวนลำกล้อง(พี่เขาบอกว่าปวดมากๆ) ยอมรับเลยว่าผมไม่ใจพอจะรับการสวนลำกล้องแน่นอน แถมยังราคาอีก ช็อคสามค่าผ่าตัดรวมๆของพี่เขาประมาณ 50,000 บาท ตอนนี้ใจผมเริ่มไม่สู้ดีแล้ว ไอ้รักษาน่ะอยากรักษาแต่ค่าหมอก็เดือดเหลือเกิน ผมพยายามหารีวิวกับราคาของการรักษาแบบไม่ต้องผ่าตัด(ผมไม่ได้ทำประกันไว้เพราะปกติแล้วผมไม่ค่อยได้ป่วยหรือเป็นโรคอะไร ซึ่งมาคิดๆดูตอนนี้คงต้องเริ่มหาทำประกันบ้างแล้วเผื่อจะลดค่าใช้จ่ายได้ยามเราป่วย) คุณๆที่อ่านมาถึงตรงนี้เชื่อไหม? ผมหารีวิวการรักษาแบบไม่ต้องผ่าตัดไม่เจอสักอันเดียว แล้วผมก็ดันไปเจอเว็ปของหมอเอกลักษณ์ (ที่อยู่คลินิกกดที่ลิงค์นี้)  ผมพยายามหารีวิวคนไข้ของหมอ แต่ก็หาไม่เจอ ผมเปิดอ่านเว็ปของหมอซึ่งหมอก็มีรูปเคสคนไข้ต่างๆของหมอแต่ละรูปนี่พอผมดูแล้วได้แต่บอกตัวเองว่า "กูยังไม่เป็นเยอะเท่านี้ๆ(เข้าข้างตัวเองสุดๆ 55)"

น้องริดพี่ขอโทษ ถึงเวลาที่เราต้องจากกันแล้วล่ะ

     วันรุ่งขึ้นพอตื่นมา ผมรีบจัดการตัวเองทุกอย่างแล้วก็รีบซิ่งไปคลินิกของหมอตามแผนที่ในลิงค์ข้างบน พอไปถึงแล้วหมอก็มีลูกค้านั่งรออยู่ประมาน 2 เจ้า 1 เป็นครอบครัวของพี่คนนึงมากัน 4 คน อีก 1 เจ้าเป็นเพื่อนกันมากัน 2 คน ผมนั่งรออยู่ซักพักพอมีคุณยายที่มาพร้อมกับลูกๆของยายเดินออกมาจากห้องตรวจผมก็เห็นแล้วว่าคุณยายเดินท่าทางแปลกๆ แล้วพี่คนที่เพิ่งรักษาเสร็จที่เดินตามหลังคุณยายก็เดินท่าเดียวกัน มันทำให้ผมแน่ใจเลยว่า ผมต้องเดินท่าเดียวกันนี้แน่ๆ
     ถึงเวลาแล้ว! หมอเรียกเข้าไปหาในห้องตรวจ
     หมอถามว่า "อาการเป็นยังไงบ้าง?"
     ผมตอบ "ก็มันยื่นออกมาแล้วไม่หดเข้าไปครับ"
     หมอถามต่อ "แล้วได้ไปทำอะไรกับมันไหม เป็นมานานรึยัง?"
     ผมตอบ "ผมซื้อสมุนไพรมากินครับ แต่ว่ามันไม่ดีขึ้นเลยต้องมาหาหมอ ส่วนเรื่องอาการนี่ผมถ่ายเป็นเลือดมาตั้งแต่ตอนเรียนมหา'ลัยแล้วครับ"
     หมอทำหน้าตกใจ "อ้าว แล้วทำไมไม่มาหาหมอตั้งแต่ตอนถ่ายเป็นเลือดล่ะ ต้องเป็นเยอะๆก่อนค่อยมาใช่ไหม? คนไข้เนี่ยส่วนมากถ้าเป็นไม่เยอะไม่ยอมมากันซักคน ไม่รู้ว่าอายหมอหรืออะไร? เหอะๆ" หมอหัวเราะ
     ผมไม่รู้จะตอบว่าอะไร "อ่า ครับ"
     หมอพูดว่า "เอาล่ะ งั้นไปเบ่งในห้องน้ำไป เบ่งเยอะๆนะ ให้มัน(ติ่งน้องริด)ออกมาให้หมด หมอจะได้เห็นว่าโรคมันเป็นขนาดไหนแล้ว"
     ผมพยักหน้า "ได้เลยครับ" แล้วผมก็เดินไปเข้าห้องน้ำ นั่งเบ่งๆ เบ่งๆ จนรู้สึกว่าสุดแล้วล่ะ แล้วผมก็เดินกลับมาหาหมอ "ผมเสร็จแล้วครับ"
     หมอบอก "โอเค งั้นขึ้นไปนอนบนเตียงเลย"
     ผมขึ้นไปนอนบนเตียงให้หมอเปิดตูดเพื่อตรวจดูว่าอาการเป็นขนาดไหนแล้ว ทันทีที่หมอเปิดดูเท่านั้นแหละ บอกก็อุทานออกมาว่า "โอ้ว มันติดเชื้อนะเนี่ย!"
     ผมอึ้งได้แต่คิดในใจว่า "จริงหรอวะเนี่ย???" พอตั้งสติได้ ผมก็ถามหมอว่า "แล้วมันยังรักษาได้ไหมครับหมอ"
     หมอยิ้มแล้วตอบว่า "สบายมาก อาการอย่างงี้ประมาน 10 วัน ก็หายแล้ว หมอให้ 13 วันเลย ไม่เกินนั้น รับรองว่าหายแน่นอน ถ้าไม่หายมารักษาเพิ่มเติมที่หมอฟรีเลย" หมอตอบอย่างมั่นใจ "มาๆใส่กางเกงแล้วลงมานี่หมอจะให้ดูอะไร"
     ผมใส่กางเกงลงไปนั่งที่โซฟาภายในห้องตรวจ หมอก็จัดแจงเปิดเคสต่างๆที่หมอเคยรักษาให้ผมดูว่า ถ้าอาการน้อยเป็นแบบนี้ อาการเยอะๆ(เป็นโรคมานาน)เป็นแบบนี้ๆ แต่รู้ไหมครับว่ามีแบบที่รักษาไม่ได้เหมือนกันนะครับ ทันทีที่หมอเปิดรูปของอาการที่รักษาไม่ได้ผมก็เลยถามหมอว่า "หมอครับ ทำไมถึงรักษาไม่ได้หรอครับ? แล้วอย่างงี้ต้องทำยังไง? ส่งไปโรงพยาบาลหรอครับ?"(คำถามเยอะมาก)
     หมอชี้ที่รูปแรกแล้วตอบว่า "คนนี้เป็นมานานมาก จนตอนนี้ที่หมอไม่รับรักษาเพราะเป็นมะเร็ง รักษายังไงก็ไม่หาย" ผมเงิบและคิดในใจว่าโอ้ว โชคดีมากที่เรายังมาทันการ
     หมอเปิดรูปต่อไปแล้วอธิบายต่อ "คนนี้เป็นหูดหงอนไก่ ไปโรงพยาบาลก็รักษาไม่ได้หรอก หมดหวัง"
     ผมช็อค "แล้วมันเกิดจากอะไรอะครับ?"
     หมอตอบ "เขามีเพศสัมพันธ์กันทางทวารหนักแล้วติดเชื้อเพราะไม่ใส่ถุงยางป้องกัน"
     ผมพยักหน้า "อ่อ แต่ของผมยังรักษาหายได้ใช่ป่ะครับ?"
     หมอหัวเราะ "ได้ๆ"
     ผมถามต่อ "แล้วค่ารักษาเท่าไหร่หรอครับ?"
     หมอบอกว่า "29,000 ครับ เพราะว่าน้องริดของผมติดเชื้อต้องใช้ยามากกว่าปกติ" ผมแอบช็อคเล็กๆเพราะในใจคิดว่าน่าจะถูกกว่านี้ประมาน 1-2 หมื่นบาทเพราะเคสอื่นๆก็เริ่มต้นประมานนี้ แต่ก็เอาวะจะได้หายๆ
     ผมตอบตกลงว่าจะรักษา หมอก็ให้กินยาแล้วรอ 15 นาที แล้วไปกินข้าว ก่อนจะกลับมาเข้าห้องตรวจอีกครั้ง คราวนี้หมอให้ขึ้นไปนอนบนเตียงท่าเดิม แล้วบอกว่า "อาจจะเจ็บหน่อยนะ แต่แปปเดียวก็หาย"
     หมอบรรจงฉีดยาเข้าที่น้องริดของผม ฉีดแล้ว ฉีดอีก ฉีดเข้าไป ฉีดเข้าไปอีก ทุกคนคงคิดไม่ออกหรอกว่าผมทำหน้ายังไงเพราะผมเองก็นึกไม่ออก แต่บอกเลยว่า แม่งโคตรเจ็บ เข็มฉีดยาฉีดเข้าไปตรงน้องริด โอ้ยยยยยยยยยยย!! ผมนอนหายใจโรยริน น้ำตาไหล (สมเพชตัวเองชิบหาย 555+) ได้แต่คิดว่า ชาตินี้กูจะไม่เป็นอีก กูต้องไม่เป็นอีก กูต้องดูแลตัวเอง พอฉีดยาเสร็จหมอบอกกับผมว่า "มันจะรู้สึกหน่วงๆเหมือนจะปวดถ่ายหนัก(ปวดขี้นั่นเอง) ประมาน 2 ชั่วโมงนะครับ อย่าเพิ่งไปนั่งถ่าย เดี๋ยวยาจะไหลออกมาหมด"
     ผมที่สภาพหมดแรงสุดๆตอบว่า "ดะ ดะ ด้าย ครับหมอ"
     แล้วหลังจากนั้นผมก็ร่ำลาหมอกลับบ้าน หมอบอกว่าสงสัยอะไร LINE มาหาหมอได้นะ ปรึกษาได้ตลอด หมอใจดีมาก และหมอดูมีความสุขกับการรักษามาก(หรือว่าหมอสะใจที่ได้เห็นผมเจ็บ เหอๆ)และสิ่งที่หมอกำชับตลอดๆคือต้องหมั่นนั่งแช่ตูดด้วยด่างทับทิมเป็นไปได้คือ เช้า กลางวัน เย็น แล้วก็กินยาสมุนไพรที่หมอให้ด้วยกินก่อนอาหารเป็นประจำ

เริ่มนอกใจน้องริดแล้วสิ!

     วันแรกๆเนี่ยยังแอบทรมานนิดนึงครับ เพราะน้องริดยังทำใจไม่ได้ที่ผมบอกเลิกเธอยังคงบวมๆ พอผ่านไปได้ประมาน 6-7 วัน ผมเริ่มเดินเหินได้สะดวกไม่ค่อยมีอาการเจ็บน้องริด จนกระทั่งวันนี้(วันที่ 10 วันที่ นั่งเขียนรีวิว) น้องริดทำใจได้แล้วตอนนี้เธอจากผมไป ไปดีแล้วและขอร้องอย่ากลับมาอีก ไปๆ ชิ่วๆ ตอนนี้เหลือแต่อาการคันๆเหมือนกับตอนแผลตกสะเก็ดครับ แต่สามารถ นั่ง เดิน ได้ปกติ ยังไม่กกล้าวิ่งกลัวแผลฉีก 55 แต่บอกได้เลยว่าหายจริงๆ สบายตูดมากตอนนี้ แล้วในระหว่างที่อยู่ในช่วงรักษาผมก็ไลน์หาหมอเพื่อสอบถามเรื่องต่างๆเป็นระยะๆหมอก็ให้คำตอบและข้อแนะนำได้เป็นอย่างดี 
     ต้องขอบคุณหมอมากครับที่รักษาให้ผมหายได้โดยไม่ต้องผ่าตัด(ผมกลัวมากจริงๆ) แล้วค่าใช้จ่ายก็ไม่แพงมากถือว่าเป็นราคาครึ่งหนึ่งของค่าผ่าตัดเลยทีเดียว แต่ว่าต้องใช้ระยะเวลาในการฟื้นตัวและดูแลตัวเองนานกว่าผ่าตัดนิดหน่อยครับ

การใช้ชีวิตทุกวันนี้

     ผมพยายามกินผักและผลไม้ทุกวันลดอาหารพวกเนื้อสัตว์เพราะจะให้อดเลยมันทำไม่ได้จริงๆ ผมพยายามขี้ทุกวัน ถึงมันจะยังไม่ทุกวันก็เหอะ! สุดท้ายนี้ก็ต้องบอกว่า ชีวิตมันช่างสนุกเหลือเกินถ้าเรารู้จักการดูแลตัวเองและไม่เป็นโรคภัยไข้เจ็บใดๆ

คำเตือน: น้องริดอาจจะกลับมาหาคุณได้ทุกเมื่อเพราะโรคนี้ไม่มีทางหายขาด ถ้าเรายังใช้ชีวิตการกินแบบเดิมๆ โดยเฉพาะการดื่มเหล้า เบียร์ หมอบอกว่ามันจะเพิ่มความเสี่ยงให้คุณเป็นโรคนี้ได้ง่ายยิ่งขึ้น 

ปล.ต้องขอขอบคุณทุกคนที่นั่งอ่านมาจนถึงบรรทัดนี้หวังว่าทุกๆคนคงจะได้เข้าใจและเห็นภาพวิธีการรักษาโรคริดสีดวงแบบไม่ผ่าตัดเอาไว้เผื่อเลือกตอนที่ต้องการจะรักษานะครับ แล้วก็ถ้าคุณๆเริ่มมีอาการต่างๆที่เสี่ยงจะเป็นโรคน้องริดแล้วล่ะก็ แนะนำให้ไปพบหมอด่วนๆครับก่อนที่การรักษาจะยากขึ้น ทำให้ราคาแพงขึ้นและระยะเวลาการรักษาก็นานขึ้นแบบผม หรืออาจจะสายเกินไป(อันนี้น่ากลัวจริงครับบอกเลย) ขอบคุณมากครับ

สนใจเรียนพิเศษที่บ้านกับติวเตอร์จากสถาบันชื่อดังได้ที่
www.hqtutorhome.com

ความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

(มีคลิป)สอนเล่น Vindictus เกมใหม่สุด Sexy ของ Garena

มารู้จักกับเกม Clash of Clans เกมที่นางเอกตัวแม่ อย่างพี่อั้ม พัชราภา ยังเล่น(สวยและเล่นเกมแบบนี้ จ๊าบไปเลย!)