[มีสาระ]เรื่องสนุกๆของการ Sound check ก่อนเล่นจริง!!
Sound check ก่อนเล่นมีประโยชน์จริงหรือมั่วนิ่ม?
โปรดอ่าน! เรื่องนี้เกิดจากความเห็นส่วนตัวล้วนๆ อาจจะมีคนชอบไม่ชอบนะครับ ใช้สติในการอ่านนะครับ จุ๊บๆ [เพื่อความสนุกและไหลลื่นในการอ่านผมจำเป็นต้องเรียบเรียงประโยคพูดใหม่ อาจมีบางคำที่ไม่ใช่คำที่รับฟังมาจริงๆ ได้โปรดเข้าใจด้วยนะครับ]
ความเดิมตอนที่แล้วแบบเต็ม: (คลิกที่นี่)
หลังจากที่ทำผลงานออกมาได้ไม่ดีเท่าที่ควรจะเป็น เมื่อมองย้อนและทบทวนขั้นตอนการทำงานทุกๆอย่างทำให้ได้ข้อสรุปว่าควรซาวด์เช็คให้ดีกว่านะ!!
มาทำความรู้จักการ Sound Check กันเถอะ!!
บอกก่อนว่าวิธีที่ผมจะเขียนลงในบล็อคนี้ผมจะอ้างอิงจากประสบการณ์จากการทำงานและการเรียนของผมเป็นหลักนะครับ(ไม่ใช่ว่าวิธีผมจะเป็นวิธีที่ถูกที่สุด โปรดใช้วิญญาณในการอ่าน อิอิ) ส่วนถ้าใครอยากจะรู้แบบละเอียดผมมีลิงค์มาแนะนำครับ ลิงค์ของ Sound On Sound เขาเขียนได้ละเอียดดีครับลองอ่านดูนะครับเกิดประโยชน์มากๆ เอาล่ะครับผมจะอ้างอิงจากระบบมาตรฐานนะครับ การวางเวที การต่อสายไมค์ การต่ออุปกรณ์ทุกๆอย่าง สมมติว่าทุกอย่างได้ต่อไว้แบบถูกวิธีแล้ว แล้วเราได้ทำงานในตำแหน่งที่เยี่ยม ว๊าวววว อย่างรูปข้างล่าง
สำหรับผมนะ ผมชอบที่สุดตอนที่ Front of House(บู๊ธที่มีเครื่องเสียงและ Sound engineer ควบคุมอยู่ต่อไปจะเรียกว่า FoH ) อยู่ฝั่งตรงข้ามกับเวที เพราะว่ามันง่ายมากๆที่จะฟังเสียงและแก้ปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ถ้าสมมติว่างานที่เราต้องทำ เขาดันวางเครื่องเสียงไว้ข้างหลังเวทีนี่จบเลย จำเป็นต้องมีลำโพงมอนิเตอร์ซึ่งต่อระบบไว้เหมือนลำโพง PA(ลำโพงกลางแจ้งในที่นี้จะอยู่หน้าเวที) ไว้ในจุดที่วางเครื่องเสียงเพื่อให้เราสามารถรับรู้ว่าตอนนี้การมิกซ์เสียงข้างนอกเป็นอย่างไร แต่เชื่อผมเถอะว่าการที่เราฟังจากมอนิเตอร์ยังไงก็ไม่มีทางเหมือนกับเราฟังจากลำโพง PA เพราะข้างหน้าเวทีนั้นมีผู้ชมมากมายแล้วเราก็เป็นคนมิกซ์เสียงให้ท่านผู้ชมเพราะฉะนั้นถ้า FoH อยู่ฝั่งตรงข้ามเวทีอยู่ท่ามกลางผู้ชมนั้นดีที่สุดและต้องเป็น Sweet Spot ด้วยนะครับ(เรื่อง Sweet Spot อ่านต่อได้จากลิงค์นี้ครับ) เพื่อการรับฟังที่ดีที่สุด
เมื่อเราได้อยู่ในจุดการรับฟังที่ดีที่สุดแล้วและได้ต่ออุปกรณ์เข้าระบบทุกอย่างพร้อม ลำโพงPAพร้อม ลำโพงมอนิเตอร์พร้อม สายสัญญาณต่างๆพร้อม นักดนตรีพร้อม ถ้าเราพร้อมแล้ว ลุยกันเลย!!
ขั้นตอนการ Sound Check ในแบบผมแบ่งเป็น 2 วิธี 1) มีเวลาเยอะแยะ 2) ไม่มีเวลาเลย!!
วิธีที่ 1) ซาวด์เช็คแบบมีเวลาเยอะแยะมีขั้นตอนดังนี้
- ตรวจสอบวิธีการเดินระบบ(ต่ออุปกรณ์ สายสัญญาณ ลักษณะการวางลำโพง ฯลฯ)ว่าถูกต้องเป็นไปตามที่คิดหรือไม่?
- ทดลองไลน์ไมค์และสัญญาณขาเข้า-ออกทั้งหมด เช่น ใช้ไมค์ 3 ตัว ก็ลองพูดดูว่าไมค์ทั้ง 3 ตัว อยู่ในช่องมิกเซอร์ที่เราต้องการแล้วหรือไม่? ทดลองว่าลำโพงข้างซ้าย-ขวาอยู่ถูกตำแหน่งหรือไม่?(เพราะบางทีเราหรือผู้ช่วยของเราอาจจะต่อสัญญาณสลับข้างที่อุปกรณ์บางจุด) ทดลองว่าลำโพงมอนิเตอร์ใบไหนอยู่ที่ Aux อะไร? เช่น มอนิเตอร์หน้าเวทีเราอาจจะต้องการให้อยู่ที่ Aux 1 เราก็ควรให้มันอยู่ใน Aux ที่เราจัดวางไว้ให้มัน
- เมื่อทดสอบว่าทุกอย่างเข้าที่เข้าทางแล้วสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือการปรับ *Graphic EQ(ความรู้แบบเต็มที่ลิงค์นี้)ของมอนิเตอร์และลำโพง PA ด้วยการปล่อย *Pink Noise(เพิ่มเติมที่นี่ สามารถลองกดฟังได้ภายในลิงค์นะครับ) แล้วตัดย่านความถี่ที่เราไม่ต้องการออกจากลำโพงมอนิเตอร์และลำโพง PA เพื่อป้องการไม่ให้เกิดการ *Feedback(เพิ่มเติมในนี้) ของเสียง หรือที่เราเรียกทั่วๆไปว่า ไมค์หอน บรู๊วววววว(ประมาณนั้นครับ อิอิ) หมายเหตุ: ข้อมูลและทฤษฎีต่างๆที่ผมเน้นตัวหนังสือสีแดงไว้จะถูกรวบรวมมาเขียนต่อไปในโอกาสหน้านะครับ
- ทดลองเล่นจริงกันไปเลย เช่น ถ้าเป็นคอนเสิร์ตเราก็ลองให้ศิลปินทดลองเล่นในแบบที่เขาอยากเล่นกันไปเลย อยากจะกระโดดร้อง อยากจะนอนร้อง หรือนั่งร้องหน้าลำโพงมอนิเตอร์(จริงๆแล้วไม่สมควรเพราะอาจทำให้ไมค์หอนได้) หรือกำหัวไมค์ร้องแบบนักร้องชื่อดังหลายๆท่าน ซึ่งในขณะที่ทำการซ้อมเล่นจริงนั้นจะทำให้ SE อย่างเราได้มีโอกาสพบเจอปัญหาที่จะเกิดขึ้นเช่น เมื่อเราดัน Gain ของไมค์ร้องดังจนเกินความจำเป็น ก็อาจจะทำให้ไมค์หอน ซึ่งเราก็สามารถลด Gain ไมค์ให้ลงมาถึงจุดที่เหมาะสมได้ จุดที่เหมาะสมของ Gain ไมค์คือตรงไหน? สำหรับผมมันคือจุดที่สัญญาณมาเต็มที่สุดโดยไม่แตก เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยการร้องทั้งเพลงเช่น เพลงๆนี้มี dynamic การร้องที่โดดขึ้นลงทั้งเพลง(เดี๋ยวร้องเบาแล้วอยู่ๆก็ร้องดังมากๆ) เมื่อถึงท่อนที่ร้องดังมากๆแล้วสัญญาณที่เข้ามาที่ mixer ก็ยังไม่ Peak(Clip สัญญาณสูงเกินขีดจำกัดแล้วแต่จำเรียกครับ แต่ใน mixer ทั่วๆไปจะมีไฟสีแดงไว้คอยเตือนว่า "เฮ้ๆ มันพีคแล้วนะ ลด Gain หน่อยพวกๆ") แต่ท่อนที่ร้องเบาก็ยังได้ยินชัด(ในที่นี้เราอาจจะใช้ *Compressor[Link นี้เลย]ช่วยได้)
- เมื่อเราจัดการกับปัญหาไมค์หอนได้หมดแล้วเราก็ส่งสัญญาณเสียงไปยังมอนิเตอร์ต่างๆเช่น ที่นักร้องอาจจะอยากได้ร้องดังสุด รองมาเป็นกีตาร์ กลอง เบส เราก็ทำการส่งสัญญาณเสียงไปให้พวกเขาตามที่เขาต้องการ โดยไม่เกิดการ Feedback
- ปล่อยเสียงทุกอย่างออกมาที่ลำโพง PA เลย คราวนี้แหละ ความมันส์ของจริง!! (นี่เป็นขั้นตอนที่ผมชอบที่สุด เพราะคอนเสิร์ตนี้จะล่มไม่ล่มอยู่ที่ผม 555) หน้าที่เราในขั้นตอนนี้คือปล่อยให้นักดนตรีและนักร้องเล่นเพลงของพวกเขาแล้วเราก็จัดการปรับระดับเสียง(ความดัง)ให้อยู่ในระดับที่ดีที่สุดที่จะเป็นไปได้ เช่น เพลงลูกทุ่ง เสียงร้องต้องดังออกมา ตามด้วยเบส Kick แล้วที่เหลือก็ปรับขึ้นมาให้ได้ยินเป็นส่วนประกอบของเพลง หรือถ้าถึงท่อน Solo กีตาร์ เราก็อาจจะดันเสียงกีตาร์ให้ดังและเด่นออกมา ตรงขั้นตอนนี้เป็นความศิลป์ของเราเอง เราสามารถจัดการได้ บางทีเราอาจจะอยากมิกซ์เสียงให้เหมือนในไฟล์เพลงจริงๆก็ได้ หรืออาจจะอยากมิกซ์ตามใจเราก็ได้ แต่ก็ต้องฟังรู้เรื่องนะครับ ไม่งั้นอาจจะโดนด่าได้ 55
- รอเวลาเล่นจริง
วิธีที่ 2) ซาวด์เช็คแบบไม่ค่อยมีเวลา(งานด่วน)มีขั้นตอนดังนี้
มีหลายๆงานที่เราต้องเจอกับสถานการณ์แบบนี้คือเมื่อวงที่เราดูแลอยู่ต้องเล่นคอนเสิร์ตต่อจากวงก่อนหน้าของเราโดยที่เรามีเวลาซาวด์เช็คเพียง 5-10 นาที
- ให้วงที่เราดูแลขึ้นไปบนเวที เช็คอุปกรณ์ที่อย่างว่าใช้ได้เช่น ตู้แอมป์กีตาร์ ไมค์ร้อง ไมค์กลอง
- เช็คระดับสัญญาณว่าเข้ามาที่ mixer ในระดับที่เราพอใจ(แบบผมคือมาเต็ม)
- ให้ลองเล่นเพลงซัก 1 - 2 ท่อน แล้วจัดส่งสัญญาณเสียงไปที่มอนิเตอร์ต่างๆ เช่น มอนิเตอร์ร้อง มอนิเตอร์กลอง ฯลฯ แล้วรอดูผลที่เกิดขึ้น เช่น ถ้ามีเสียงไมค์หอนอย่างแรกที่เราควรดูคือ Graphic EQ ว่า ได้มีการตัดย่านความถี่ที่ไมค์นั้นจะหอนออกไปแล้วหรือยัง ถ้ายังล่ะก็นะ หึหึหึ พูดเลยว่าเราต้องรีบตัดย่านความถี่นั้นอย่างด่วนๆ จากประสบการณ์ของผมนะครับ มันจะมีอยู่แค่ไม่กี่ความถี่ที่มักจะทำให้ไมค์หอน ประมาน 3-4 ความถี่ ต่องาน เราต้องรีบหาให้เจอครับ เพราะถ้าหมดเวลา 5-10 นาทีทองแล้ว วงของเราต้องเล่นแล้วล่ะก็... ต้องมีคนกร่อยแน่ๆ ผมไม่สามารถบอกความถี่แบบเป๊ะๆให้ได้ เพราะแต่ละงานต่างสถานที่ ต่างเวที ก็ต่างความถี่ครับ แต่ให้เราคิดแบบนี้คือ 1) ความถี่ย่านเสียงต่ำ 2) ความถี่ย่านกลางต่ำ 3) ความถี่ย่านกลางสูง 4) ความถี่ย่านสูง เอาล่ะ ลองดูนะครับ สู้ๆ ต้องใจเย็นๆ อย่าลุกลี้ลุกลน และมีสติตลอดเวลา
- เมื่อเราจัดการกับเรื่องมอนิเตอร์เสร็จแล้ว ก็ส่งสัญญาณให้กับวงดนตรีของเราว่า "เฮ้ พวก เราพร้อมแล้ว พวกนายพร้อมรึยัง?" ถ้านักดนตรีตอบว่า "ยัง" ก็ให้เรารอจนกว่าพวกมันจะบอกว่า "พร้อมแล้ว!!"
- เมื่อทุกคนพร้อม เราก็ปล่อยเสียงออกลำโพง PA ไปเลย แล้วก็มิกซ์เสียงในแบบของเราแต่ต้องระวังอย่างนึงคือนอกจากไมค์สามารถหอนจากลำโพงมอนิเตอร์แล้วที่แสบกว่าก็คือหอนจากลำโพง PA ส่วนมากปัญหาการหอนจากลำโพง PA นั้นเกิดจากตำแหน่งการวางลำโพงผิดๆ (สามารถติดตามได้ในกระทู้ต่อๆไปในเรื่องของการ Set up ระบบเสียงครับ)
- ควบคุมสติและเสียงไม่ให้มีอะไร วี๊ดว๊าด ในระหว่างเล่นคอนเสิร์ต
- จบงาน ฮี๊วววววววว สบายใจ
สรุปสิ่งที่เราต้องเตรียมตัวไม่ว่าจะเป็นการซาวด์เช็คแบบมีเวลาหรือไม่ก็ตาม ก็คือ
- ตั้งสติก่อนจับเครื่องเสียง ดูว่าเป็นมิกซ์ที่เราเคยใช้หรือไม่? เป็นมิกซ์ดิจิตอลหรืออนาล็อค? ถ้าไม่เคยใช้ แนะนำว่าอย่าทดลองกดปุ่มมั่วๆเอง ให้ถามจากเจ้าของเครื่องเสียงว่า "พี่ครับ ปุ่มนั้นปุ่มนี้ อยู่่ตรงไหนครับ แนะนำผมทีครับ" จะเป็นการทำงานที่ฉลาดที่สุด เพราะไม่มีใครสามารถรู้ได้ทุกเรื่องหรอกครับ
- ลำดับขั้นตอนการทำงานในหัวเสมอว่าเราต้องทำอะไรก่อนหลังและนัดแนะกับนักดนตรีว่าเราต้องการให้พวกเขาทำอะไรและถามจากพวกเขาว่าต้องการอะไรจากเรา
- สำคัญที่สุด "มีความสุขกับงานที่ทำและส่งต่อให้คนรอบข้าง"
เป็นยังไงบ้างครับกับขั้นตอนการซาวด์เช็คในแบบของผม มันอาจจะไม่ได้ละเอียดมากและถูกต้องที่สุด(จริงๆแล้วไม่มีวิธีที่ถูกต้องที่สุดครับ เราต้องเลือกวิธีจากประสบการณ์และความรู้ของเราเอง)แต่ผมหวังว่ามันคงจะมีประโยชน์กับคนที่ต้องการแนวทางการปฏิบัติงานนะครับ เพราะชีวิตมันช่างสนุกเหลือเกินถ้าเราทำผลงานออกมาได้ดีและมีความสุขกับงาน
ขอบคุณสำหรับการติดตามครับ แล้วพบกันใหม่ในกระทู้ต่อๆไปนะครับ
สนใจเรียนพิเศษที่บ้านกับติวเตอร์จากสถาบันชื่อดังได้ที่
www.hqtutorhome.com
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น